MG3 2018 เครื่องยนต์ใหม่ เกียร์ใหม่ สดใสสไตล์ทูโทน

  • October 25, 2018

        ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ MG3 Hatchback แนวสีสันสดใสเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทย ต้องบอกว่าได้รับความสนใจ ไม่ใช่น้อย ในโฉมเปิดตัวตั้งแต่ปี 2015 MG3 โมเดลนี้ หลายๆ คนรู้จักจากระบบเกียร์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน หลายคนสงสัยว่าเกียร์ลักษณะแบบนี้จะไปได้หรือเปล่ากับผู้ใช้งานแบบคนไทย ที่นิยมเกียร์ที่มีการใช้งานนุ่มนวลและคล่องตัวเป็นหลัก

         แต่เกียร์ที่เรียกว่าเกียร์ระบบ Selematic ใน MG3 โมเดลแรก ปี 2015 ที่มีคาแร็คเตอร์การใช้งานที่แตกต่าง ในลักษณะของเกียร์แมนนวลผสมกับเกียร์ออโต้ ทำให้ช่วงจังหวะการทำงานและส่งกำลังของเกียร์อาจไม่สมูธและนิ่มนวล ในช่วงรอบต่ำหรือช่วงวิ่งรถติดในเมือง ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความต้องการส่วนใหญ่ และความคุ้นชินของผู้บริโภคคนเมือง ที่ชอบเกียร์แบบใช้งานง่ายและไม่กระตุก

 

        ในการทำงานส่วนตัวผมเองเคยมีโอกาสได้ทดลองเกียร์ในแบบเทเลเมติกส์นี้ในโมเดลแรก ผมกลับมองว่าเป็นทั้งจุดเด่นและจุดด้อยในรถรุ่นนี้ ฟังให้ดีนะครับผมพูดไม่ผิด จุดดีก็คือการใช้งานในรอบความเร็วสูงสูง เกียร์ทำงานได้เสมอและต่อเนื่องดี ส่วนในรอบต่ำที่หลายๆ คนบ่นว่ากระตุก ผมกลับมองว่าเป็นคาแร็คเตอร์ของเกียร์ ซึ่งถ้าเราใช้งานได้คล่องแล้ว หรือทำความรู้จักกับเกียร์ได้ดีแล้วก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร ส่วนจุดด้อยในเกียร์ชุดนี้ก็คือ ถ้าคุณไม่รู้จักมันดีปัญหาก็จะเกิดจากการใช้งานแน่นอน

         พูดก็พูดเถอะนะครับ แม้ MG3 ในโฉมโมเดล 2015 ลากทำการตลาดกันยาวมาถึงปี 2018 เกือบ 3 ปีในโมเดลนี้ MG3 ก็มีคุณูปการกับแบรนด์ MG ในประเทศไทย เพราะทำให้คนไทยรู้จักแปลน MG มากยิ่งขึ้น ยอดขาย 10,000 คันในช่วงเวลาที่ผ่านมา คงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารถโมเดลนี้ได้รับความสนใจในตลาดบ้านเราขนาดไหน

 

เกียร์ใหม่อัตโนมัติ Torque Converter 4 สปีด พร้อม Manual Mode

             การมาทดสอบ MG3 ในครั้งนี้ บนเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน สิ่งที่ต้องบอกว่ารถคันนี้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ในแบบ Minor Change Model 2018 แน่นอนครับเรื่องแรกตามที่เพื่อนมาก็คือ ชุดเกียร์ หรือระบบส่งกำลังที่เปลี่ยนมาใช้เป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ Torque Converter พร้อมโหมด Manual Mode ที่ปรับปรุงให้ใช้งานได้ง่ายและไม่มีอาการกระตุกเหมือนเกียร์ในแบบเก่า

         แต่จุดสำคัญก็คือ จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ของเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีด ที่เปลี่ยนบุคลิกตัวรถไปจากโฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ที่ใช้เกียร์แบบ AMT ทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล จับจังหวะได้ง่ายและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แถมยังให้อารมณ์การขับขี่ที่สนุกสนานกว่าเกียร์ประเภท CVT

เครื่องยนต์เบนซิน 112 แรงม้า DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH 1,498 CC

         ในเรื่องของเครื่องยนต์เองก็มีการปรับปรุงเป็นเครื่องยนต์ที่ยกมาจาก MG Z S รถอเนกประสงค์ในแบบครอสโอเวอร์ กับเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 149 844 VTi Tech ให้กำลังจัดจ้านเพิ่มขึ้นจาก 106 แรงม้า ในโมเดลเก่ามาเป็น ที่ 112 แรงม้า ที่ 6 000 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที

         บนเส้นทางจากกรุงเทพฯ มาถึงหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในการทดสอบต้องบอกว่าเครื่องยนต์ 1,500 CC สามารถตอบโจทย์การเดินทางได้อย่างไม่ติดขัด ทั้งในเรื่องของอัตราเร่ง กำลังเครื่องยนต์สอบผ่าน เครื่องยนต์ให้อัตราเร่งในระดับแรง สมกับพิกัดเครื่องยนต์ในระดับนี้  แม้รอบของเครื่องยนต์จะถือว่ารอบสูงในการเรียกกำลังรถแต่ละครั้ง แต่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร เป็นคาแร็คเตอร์สนุกสนานของรถที่ต้องการความกระฉับกระเฉงจากการขับคอนโทรล ได้รู้สึกถึงฟีลลิ่ง Sport อีกแบบหนึ่ง

          ส่วนน้ำหนักพวงมาลัยแบบพาวเวอร์ไฮดรอลิคให้น้ำหนักที่ดีมีแฮงลิงค์ที่คมใช้ได้เลยทีเดียว สำหรับรถชาร์จแบตแบบนี้ วงเลี้ยวทำได้แคบช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ ที่สำคัญระบบช่วงล่างแบบยูโรเปี้ยนจูนนิ่งซับเทนชั่น ที่ติดตั้งมาในรูปแบบของแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบถอดชิ้นบีม ช่วยทำให้รถคอนโทรลได้เฟิร์มและมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางโค้ง ระบบรองรับก็ช่วยซับแรงกระแทกจากท้องถนน ได้มาก เมื่ออยู่ในตำแหน่งผู้ขับแล้ว ทั้งเครื่องยนต์ ช่วงล่าง เกียร์ ทำงานประสานกัน ได้ดี เป็นรถเล็กอีกรุ่นที่ขับได้สนุกมั่นใจเมื่อใช้ความเร็ว

รูปลักษณ์ สดใสในสไตล์ทูโทน

          ในเรื่องของดีไซน์ภายนอก หลายคนคาดหวังให้ MG มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ซึ่งทาง MG ก็ยังคงคอนเซปต์ ความเป็นรถเล็กในแบบ Hatchback หรือเก๋งเล็กแบบท้ายตัด ด้วยดีไซน์ สีสันสดใสในสไตล์ทูโทน สิ่งที่มีการปรับปรุงให้ดูสดใหม่มากยิ่งขึ้นก็คือกระจังหน้า ที่ออกโทนหรูหราและทันสมัย แต่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น MG การออกแบบภายนอก ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน หรือ Day Time Running Light สปอยเลอร์เสริมความสปอร์ตรอบคัน สเกิร์ตข้างสีทูโทน ล้ออัลลอย 16 นิ้วลายใหม่ และโดดเด่นด้วยหลังคาแบบซันรูฟปรับไฟฟ้า แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ถือว่าเก๋ไก๋ใช้ได้ในรถเล็กแบบนี้

 

ห้องโดยสารสปอร์ตด้วยเส้นสายสีสันลายโมเดิร์นกราฟิก 

            พวงมาลัยและฐานเกียร์วัสดุหนังช่วยเพิ่มความหรูขึ้นมาอีกนิด ขณะที่บรรยากาศภายในค่อนข้างโปร่งโล่ง อันเป็นผลจากการออกแบบตัวถังที่เน้นความเหลี่ยมสัน ภายในห้องโดยสารก็มีการปรับเสริมให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น การออกแบบภายใน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกตกแต่งด้วยดีไซน์พรีเมี่ยม สะท้อนความสปอร์ตที่ผสานเส้นสายสีสันลายโมเดิร์นกราฟิก เบาะนั่งคนขับและผู้นั่งโดยสารตอนหน้าแม้จะไม่มีระบบไฟฟ้ามาให้แต่ก็สามารถปรับได้ 6 ทิศทาง

           สิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มเข้ามาในรถเป็นออพชั่นฟีเจอร์ใหม่ๆ ก็คือในเรื่องของ iSmart รุ่น 2 ที่เรียกว่ายกมาจาก MG Z S ทั้งกระบิ จะขาดก็แต่ระบบการสั่งงานด้วยเสียงที่เราคุ้นเคยใน MG Z S ว่าฮัลโหล MG เปิดซันรูฟ ในคันนี้ไม่มีนะครับ ด้านแผงคอนโซลดีไซน์ใหม่หมดจด พร้อมหน้าจออินโฟเทนเม้นท์ขนาดใหญ่ ซึ่งในบ้านเราจะมาพร้อมระบบเชื่อมต่อ i-SMART ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเพื่อเช็กสถานะรถยนต์, เช็กตำแหน่งตัวรถและฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่ง MG3 เป็นรถระดับ B-Segment เพียงรายเดียวในตลาดขณะนี้ ที่มีฟังก์ชั่นลักษณะนี้มาให้

 

AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI

เครื่องยนต์ใหม่ เกียร์ใหม่ สดใสสไตล์ทูโทน

         เป็นรถอีกคันที่มีเซอร์ไพรสหลังได้ทดลองขับ เพราะด้วยคาแร็คเตอร์ ที่กระฉับกระเฉงจากการขับคอนโทรล ได้รู้สึกถึงฟีลลิ่ง Sport อีกแบบหนึ่ง เกียร์ชุดใหม่ที่ดูเหมือนว่าสมองกลเกียร์ของ MG3 จะเน้นการขับขี่แบบประหยัด ดังนั้น การขับขี่ในโหมด D จะมีการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นค่อนข้างเร็ว ทำให้อัตราเร่งไม่ฉับไวอย่างใจคิดนัก แต่หากต้องการเค้นแรงบิดเครื่องยนต์กันจริงๆ ก็สามารถผลักคันเกียร์ไปยังโหมด S ได้ ซึ่งจะทำให้เกียร์ตัดที่รอบเครื่องยนต์สูงขึ้น ช่วยรักษารอบเครื่องยนต์ให้สูงอยู่เสมอ มีแรงบิดให้เล่นทันทีที่กดคันเร่งลงไป ทำให้ขับขี่ได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น

        สิ่งสำคัญของ MG ที่ยังคงถ่ายทอดมาในรถคันนี้ได้อย่างดีเยี่ยมก็คือ ช่วงล่างที่สามารถเข้าโค้งได้อย่างฉับไว และมั่นใจครับ ในรถพิกัดนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานล้อที่สั้นตามฉบับรถเล็ก ขณะที่ความนุ่มนวลของสปริงถูกเซ็ตมาในระดับกลางๆ คือ พอมีความนุ่มนวลให้สัมผัสอยู่บ้าง ไม่ถึงกับแข็งกระด้าง แม้ว่าน้ำหนักตัวรถที่เบาเพียง 1,100 กิโลกรัม จะทำให้มีอาการหวิวขณะเข้าโค้งแรงๆ อยู่นิดหน่อย แต่ก็ถือเป็นรถเล็กที่มีช่วงล่างดีที่สุดรุ่นหนึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน ส่วนเรื่องวัสดุและคุณภาพการประกอบภายในห้องโดยสาร ยังให้คะแนนได้ไม่เต็มสิบ แต่โดยรวม MG3 ในเวอร์ชั่น 2018 ถือว่ามีการตั้งใจปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ทั้งภายนอกภายในหลายสิ่งเพื่อคอนเซปต์ความสนุกในการขับขี่ของรถ ในรูปแบบของ Smart Car ของคนรุ่นใหม่