ซาลามัต ดาตัง.. บันทึกการเดินทางหลังพวงมาลัยจากไทยไปมาเลเซียกับคาราวาน Nissan Go Anywhere

  • March 04, 2020

     ชีวิตนักเดินทางหลังพวงมาลัยมักถูกมองว่าเป็นเรื่องที่น่าอิจฉา ที่จะได้เสพความสุขกับการขับรถข้ามประเทศ หลายคนคงไม่รู้ว่านอกจากความสนุกตื่นเต้นแล้ว การเตรียมตัวให้พร้อมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเบื้องหลังคือการตื่นเช้านอนดึก ทำระยะทางในแต่ละวันให้ได้ตามที่กำหนด งานนี้ไม่มีคำว่าเร็วไปกว่ากำหนด มีแต่ไปให้เร็วอีกเดี๋ยวไม่ทันเพราะการเดินทางโดยใช้รถทำให้เราเห็นสภาพภูมิประเทศของสถานที่นั้น ผ่านการมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยความงามของธรรมชาติเป็นอีกหนึ่งสีสันของการเดินทาง

 

     ผมมีโอกาสได้เดินทางในรูปแบบคาราวานทดสอบรถยนต์อีกครั้ง ภายใต้ธีม “Go Anywhere” หรือ “ลุยได้ทุกที่” ของนิสสัน ผ่านภูมิประเทศที่หลากหลายของประเทศมาเลเซีย ที่จัดขึ้นเพื่อทดสอบรถยนต์นิสสันที่ผลิตขึ้นจากฐานการผลิตในประเทศไทย โดยเส้นทางรอบประเทศมาเลเซียสามารถพิสูจน์สมรรถนะความสะดวกสบายในการขับขี่ และเทคโนโลยีอัจฉริยะจากการใช้งานจริง ผ่านสภาพเส้นทางที่ผสมผสานถนนลาดยาง ถนนโค้งบนภูเขา หรือการผจญภัยแบบออฟโรด

      ขบวนคาราวานรถของนิสสันมากกว่า 10 คัน ทั้ง Nissan Navara, Nissan X-Trail และ Nissan Terra ในกิจกรรมคาราวานรถยนต์ Nissan Go Anywhere ลุยได้ทุกที่ในครั้งนี้ เป็นการเดินทางท่องเที่ยว เรียนรู้ สำรวจเส้นทางในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย รวมทั้งสิ้น 8 วัน ระยะทางกว่า 2,000 กม. ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันครับ ซึ่งทางทีมงาน Autojamthailand ของเราได้ร่วมเดินทางในกลุ่มแรกเป็นเส้นทางที่ขับจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มุ่งหน้าไปข้ามแดนที่ด่านสะเดา แล้วขับกันเป็นคาราวานสู่รัฐเกอดะห์ ประเทศมาเลเซีย ก่อนจบทริปกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ แล้วส่งไม้ต่อให้อีก 2 กลุ่ม เพื่อขับไปบนเส้นทางเมืองกวนตัน, ปุตราจายา, มะละกา, กัวลาตรังกานู, ปีนัง แล้วขับรถข้ามแดนกลับมาจบทริปที่ด่านสะเดา

 

Day 1 Nissan Terra ล้อหมุนจากหาดใหญ่สู่ภูเขาเจไรแห่งช่องแคบมะละกา

      182 กม. บนรถอเนกประสงค์ใหม่ Nissan Terra ในวันแรกของการเดินทางที่คาราวาน Nissan Go Anywhere เริ่มต้นกันที่หาดใหญ่เพื่อรับบรีฟรายละเอียดข้อมูลในการเดินทางทั้งหมดในครั้งนี้ ก่อนที่จะล้อหมุนไปที่ด่านพรมแดนสะเดา เพื่อเตรียมเอกสารพร้อมเดินผ่านด่านตรวจขาออกนอกประเทศ

 

         ขั้นตอนในช่วงด่านตรวจนี้ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ก็ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของทั้ง 2 ประเทศเป็นที่เรียบร้อย แม้ในด่านนี้จะมีขั้นตอนแยกตรวจคนและตรวจรถออกจากกัน ในส่วนของคนก็ยังแยกทั้งผู้ที่เป็นผู้โดยสารและผู้ที่เป็นผู้ขับขี่ ซึ่งจะได้รับใบขับขี่และทะเบียนรถแยกในแต่ละคัน และจะต้องมีการระบุชื่อผู้ขับและผู้โดยสารในเอกสารประจำรถแต่ละคันครับ ซึ่งตัวรถเองจะต้องมีป้ายวงกลมติดที่กระจกหน้าของรถด้านซ้ายบอกรายละเอียดต่างๆ รวมไปถึงการติดป้ายทะเบียนพื้นดำตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวทั้งด้านหน้าและด้านหลังรถ ที่ทำแล้วเป็นอันเสร็จพิธี สามารถใช้รถในมาเลเซียได้ไม่มีปัญหา

 

 

                                                                             

       การเดินทางบนเส้นทางหมายเลข E1 ถนนทางด่วนที่วิ่งจากเหนือสุดไปใต้สุด ในรัฐเกอดะฮ์ (Kedah) ถนนที่วิ่งผ่านเมืองใหญ่ๆ สำคัญของมาเลเซียครับ โดยการผ่านด่านทางด่วนต้องใช้บัตรแข็งที่เรียกว่า Touch 'n Go เพื่อไว้สำหรับจ่ายค่าผ่านทาง โดยจะต้องวิ่งเข้าช่องที่เป็นป้ายสีน้ำเงิน ใช้การแตะบัตรเพื่อผ่านด่านทางด่วน และวิ่งมาได้สักระยะก็เตรียมแยกซ้าย สู่เมืองอลอร์สตาร์ (Alor Setar) เมืองหลวงของรัฐเกอดะห์ หรือในประวัติศาสตร์ไทยรู้จักกันในชื่อไทรบุรี 1 ใน 4 รัฐมลายู ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม ตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่ทุกวันนี้ยังผสมผสานกันของความเป็นชนบทและอารยธรรมที่ทำให้เมืองนี้มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ

 

                                                                          

     อาหารท้องถิ่นมื้อเที่ยงของ คาราวาน Nissan Go Anywhere ในวันนี้ดีงามที่ความสูง 165.5 เมตร บนหอคอย Alor Setar Tower ที่เป็นอาคารโทรคมนาคม สูงในแบบที่สามารถชิลล์ๆ ชมวิวความสวยงามของเมืองอลอร์สตาร์ได้แบบ 360 องศา  ที่สำคัญหอคอยแห่งนี้ยังใช้เป็นหอดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันแรกของเดือนในปฏิทินมุสลิม และยังจัดเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงเป็นอันดับที่ 2 ของมาเลเซียด้วยครับ

          ที่สุเหร่าซาฮีร์ โดมสีดำสถาปัตยกรรมในแบบมาเลย์-อิสลาม เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ และเป็นจุดเช็กอินอีกหนึ่งแลนมาร์คอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอลอร์ สตาร์ ความโดดเด่นของโดมสีดำ 5 โดม ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1912 ก่อนที่ขบวนจะขับวนรอบๆ เมือง ชมบรรยากาศตึกรามบ้านช่องในสไตล์ชิโนโปรตุกีส

 

           ที่พักในวันแรกของทริปนี้อยู่ที่  The Jerai Hill Resort บนภูเขาเจไร (Jerai Mountain) ที่มีเส้นทางไปที่ค่อนข้างแคบ และเป็นแบบเลนสวนระยะทางขึ้นเขา 12 กม. กับ และมีจุดที่ต้องระวังและเลี้ยวโค้งทางชันหลายจุด เป็นเส้นทางขึ้นเขาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเส้นทางนี้เป็นทางปกติที่ผู้คนแถวนี้ใช้สำหรับเดินออกกำลังกายและปั่นจักรยานขึ้นภูเขา

 

        อากาศเย็นสบายในตอนเย็นย่ำที่อุณหภูมิลดต่ำลง ถึงขนาดที่ต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ สัมผัสวิวบนยอดเขาสูงที่มองลงไปเห็นทั้งเมืองและทะเลช่องแคบมะละกา เห็นวิวพื้นที่ผืนป่า ชายหาดและเกาะขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ สำหรับยอดภูเขาเจไรที่มีความสูง 1,217 เมตร หรือ Kedah Peak เป็นภูเขาหินปูนที่ทอดยาว และเป็นเทือกเขาหนึ่งของเทือกเขาตีตีวังซา ที่กั้นพรมแดนไทยกับมาเลเซียตลอดทั้งแนว เป็นทิวทัศน์ที่ยอมรับว่าสวยงามน่าประทับใจสำหรับวันนี้

 

Day 2 ขับ Nissan Navara บนทาง Dirt Road ตัดเข้าป่ามุ่งหน้ากัวลาลัมเปอร์

      ความเร็วที่ 110  กม./ชม. เป็นความเร็วตามกฎหมายจราจรที่ทางมาเลเซียกำหนด และขบวนคาราวาน Nissan Go Anywhere ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งตามข้างทางก็จะมีป้ายเตือนสีเหลืองขนาดใหญ่อยู่เมื่อใกล้จุดที่มีกล้องจับความเร็วอัตโนมัติ รถที่ผมได้ใช้ในการเดินทางในวันนี้คือ Nissan Navara ที่แม้จะเป็นรถปิกอัพแนวแกร่ง แต่ก็สามารถใช้งานได้ดี กับการเดินทางระยะไกล 468 กิโลเมตร ในวันนี้จุดจอดแรกของคาราวาน อยู่ที่ปราสาทเคลลี (Kellie's Castle) ที่สร้างขึ้นเป็นบ้านพักของวิลเลียม เคลลี สมิธ ชาวไร่จากสก๊อตแลนด์ที่เข้ามาซื้อที่ดินเอาไว้ และยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อแรงงานจากอินเดียที่เข้ามาค้าแรงงานในแหลมมลายู เพราะได้สร้างศาสนสถานฮินดูให้ชาวอินเดียได้ประกอบพิธีทางศาสนาอีกด้วย

 

       ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1915 แต่การก่อสร้างต้องหยุดลงเมื่อนายเคลลีเสียชีวิตในปี 1926 และภรรยาของเคลลี่จึงไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว จึงได้เดินทางกลับบ้านเกิด โดยทิ้งให้ปราสาทแห่งนี้ร้างแบบที่ก่อสร้างไม่เสร็จ นับแต่นั้นมาปราสาทเคลลีจึงกลายเป็นปราสาทที่โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางป่าของรัฐเประ และสร้างตำนานความเชื่อว่าที่ปราสาทแห่งนี้มีเรื่องเร้นลับอีกมากมาย จนปัจจุบันกลายสถานที่ท่องเที่ยวในแบบชวนขนหัวลุก

      เส้นทางวันนี้จากเมืองซูไงปตานี, บัตเตอร์เวิร์ท, ไทปิง แล้วเข้าเมืองโกเป็ง (Gopeng) เมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติและในเชิงนิเวศน์ เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในมาเลเซียอีกด้วย จนมาถึงที่ร้าน Thong Lok Seafood ในชุมชนชาวจีนบนเส้นทางสาย A15 เป็นจุดพักรับประทานมื้อเที่ยงในวันนี้

 

        บ้านเรือนแถบนี้จะเป็นสไตล์ชิโนโปรตุกีสเต็มสองข้างทาง และทำให้รู้ว่าพื้นที่แถบนี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เหมืองเก่า เพราะพื้นที่ส่วนในของเมืองนี้เป็นพื้นที่ป่าเขา ซึ่งในอดีตเป็นแหล่งผลิตแร่ดีบุก เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจการค้าอาคารหลายแห่งมีอิทธิพลการออกแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีส

 

 

         บนเส้นทาง Dirt Road ตัดเข้าผ่านป่าในช่วงบ่ายวันนี้ ก่อนขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าไปยังกัวลาลัมเปอร์ จุดหมายต่อไปคือ The Hideout Gopeng ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแคมปิ้งธรรมชาติมีแม่น้ำไหลผ่าน สามารถทำกิจกรรมได้อย่างหลากหลาย แต่ก่อนที่จะไปถึงคณะคาราวานต้องขับออกจากถนนใหญ่สู่เส้นทางออฟโรดสายฝุ่น ซึ่งเป็นการขับเข้าเส้นทางเลาะชายป่าเข้าสู่พื้นที่การทำการเกษตรและพื้นที่ระเบิดหิน รวมทั้งพื้นที่ทำเหมืองแร่เก่า ถึงแม้ว่าบางเส้นทางจะมีทางให้รถวิ่ง แต่เป็นเส้นทางเก่าที่ไม่ค่อยมีใครขับเข้ามานานแล้ว ทำให้มีความท้าทายกันพอประมาณ เพื่อแวะพักแคมปิ้งกันที่ริมน้ำก่อนจะมุ่งหน้าลงใต้เข้าเมือง

       การจราจรที่เริ่มมีติดขัดบ้างแล้วเป็นช่วงๆ สภาพเส้นทางด่วนในช่วงนี้เริ่มเป็นถนน 3 เลน และ 4 เลน เข้าใกล้เมืองมากขึ้น และฝนตกโปรยปรายลงมาเล็กน้อยเป็นระยะๆ ก่อนคาราวาน จะเคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้าสู่โรงแรมที่พัก Impiana KLCC Hotel ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ที่อยู่ไม่ไกลจากตึกแฝด เปโตรนาสทาวเวอร์

 

Day 3 ขับ Nissan X-Trail ไปปุตราจายา ศูนย์ราชการแห่งมาเลเซีย

       ในรถอเนกประสงค์ Nissan X-Trail กับการขับขี่ช่วงเช้าในเมืองกัวลาลัมเปอร์ที่ค่อนข้างมีการจราจรหนาแน่นและมีแยกต่างๆ มากมายก็สามารถขับได้คล่องตัว การขับขี่ที่ให้ความสบายช่วงล่างที่นุ่มนวลทำให้การขับในวันนี้สบายๆ และรู้สึกปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีการเตือนเชิงป้องกันอัจฉริยะที่ติดตั้งใน Nissan X-Trail  บวกกับรถที่สูงก็ได้มอบทัศนวิสัยที่ดี ระหว่างทางวันนี้ได้ชมความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างของมาเลเซียที่ถูกพัฒนาขึ้น กลุ่มป่าคอนกรีต หรืออาคารสูงกลางเมืองก็ดูกลมกลืนไปกับความเขียวขจีที่แทรกตัวเข้ามาของต้นไม้

 

      หลายคนบอกว่า ถ้ามามาเลเซียแล้วไม่ได้ชมความยิ่งใหญ่ของ ปูตราจายา (Putrajaya) ก็เหมือนมาไม่ถึง  ที่นี่เป็นเมืองใหม่และศูนย์กลางการปกครองของมาเลเซีย ที่ย้ายมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 เพราะความแออัดในตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์ และเกิดขึ้นจากแนวคิดของ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย บนพื้นที่กว่า 49 ตารางกิโลเมตร

       บนถนนสายหลักยาว 4.2 กิโลเมตรของปูตราจายามีอาคารที่เป็นจุดเด่นสร้างอยู่บนเนิน เรียกว่า เปอร์ดานาปูตรา มีมัสยิดที่ตั้งอยู่เฉียงมาทางด้านหน้าเรียกว่า มัสยิดปูตรา (Masjid Putra) มีความสูงเทียบเท่าตึก 25 ชั้น เมื่อมองกลับลงไปเห็นกลุ่มอาคารศูนย์ราชการที่รายล้อมอย่างเป็นระเบียบ

 

        การจัดสรรพื้นที่ที่แทรกด้วยสีเขียวของต้นไม้ ถึงเป็นเมืองใหม่แต่ปูตราจายายังไม่ทิ้งความใกล้ชิดกับธรรมชาติ เป็นความงดงามจุดสุดท้ายของทริปแรก ก่อนเดินทางกลับไปที่สนามบินนานาชาติ กัวลาลัมเปอร์ เพื่อเตรียมส่งไม้ต่อให้กลุ่มที่ 2 ที่กำลังเดินทางมาจากประเทศไทย นับเป็นการสิ้นสุดภารกิจการเดินทางของกลุ่มแรกในครั้งนี้ ตลอด 3 วัน เป็นระยะทางกว่า 717 กิโลเมตร ในรูปแบบคาราวานท่องเที่ยวกับรถยนต์นิสสัน กับกิจกรรม Nissan Go Anywhere ในครั้งนี้

 

       ปิดท้ายสวยๆ ขอขอบคุณมิตรภาพในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ทั้งดีและไม่ดีปะปนกันเป็นรสชาตินักเดินทาง ในช่วงเวลา 3 วัน ที่ได้ร่วมเดินทางในกิจกรรม Nissan Go Anywhere ขอขอบคุณทีมงานนิสสันที่นำพามาให้พบกับประสบการณ์การเดินทาง จากไทยสู่มาเลเซีย ที่ถ้าไม่ได้เดินทางมาด้วยรถยนต์ อาจไม่ได้มองเห็นประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซียในอีกแง่มุม ที่น่าเรียนรู้ จดจำ และประทับใจแบบนี้ครับ

 

       Nissan X-Trail รถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีที่ขายดีที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2558 และในรุ่นปัจจุบันยัง อัพเกรดเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน โดยเฉพาะระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ INTELLIGENT CRUISE CONTROL (ICC) ที่มอบความสบายอย่างยิ่ง สามารถชะลอและเพิ่มความเร็วอัตโนมัติ ตามระยะคันหน้าอย่างปลอดภัย และสามารถปรับระยะห่างได้ 3 ระดับ พร้อมกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทางในขณะที่ขับรถผ่านอุปสรรค

 

        Nissan Terra รถอเนกประสงค์อัจฉริยะตัวถังบนแชสซีส์ แบบ 7 ที่นั่ง ถูกสร้างมาพร้อมใช้งานทางเส้นทางออนโรดและออฟโรด ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมระบบล็อกไฟฟ้า สามารถเลือกโหมดการขับเคลื่อนได้ มีระยะความสูงจากพื้นถนนถึงใต้ท้องรถ 225 มิลลิเมตร ลุยได้ในทุกเส้นทาง

 

        Nissan Navara ความแกร่งรูปลักษณ์ใหม่ที่เหนือกว่าทั้งภายนอกภายใน กับช่วงล่างที่ใช้แชสซีส์เหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน เป็นจุดเด่นของรถปิกอัพนิสสันที่ผู้ใช้ทั่วโลกล้วนยอมรับในความแข็งแรงทนทานกว่าปิกอัพทั่วไป

        รถยนต์นิสสันทั้ง 3 รุ่นนี้ได้มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยตลอดการเดินทางบนสภาพการขับขี่ที่หลากหลาย รวมถึงการใช้ความเร็วบนถนนลาดยาง แสดงความสามารถในการยึดเกาะถนนบนทางโค้งที่แคบ และความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรด

 

        ในขณะที่ฟังก์ชั่นการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนขณะขับขี่ หรือ Shift-on-the-fly ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากสองล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อนสี่ล้อ (4H) เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในสภาพถนนที่มีความลื่นไถล นอกจากนี้ ในโหมดการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อที่ความเร็วต่ำ (4LO) ได้ช่วยเสริมกำลังเมื่อเผชิญกับทรายและโคลนที่ลึก ขณะเดินทางข้ามแหล่งน้ำ การขับขึ้นโขดหิน รวมถึงขึ้นและลงจากเนินสูงต่างๆ

       ในการเดินทางบนทางหลวงเป็นระยะทางไกลๆ ผู้ขับขี่สามารถใช้เทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control – ICC) ซึ่งจะรักษาระยะห่างตามความเร็วของรถคันหน้าตามที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ เทคโนโลยีช่วยลดความเร็วอัตโนมัติ (Intelligent Engine Brake) จะเปลี่ยนเกียร์ลงอย่างนุ่มนวลเมื่อรถคันหน้าชะลอความเร็ว เทคโนโลยีทั้ง 2 อย่างนี้จะช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ตลอดการเดินทาง ซึ่งจะเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีอัจฉริยะเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนในขับขี่บนทางหลวง ทางด่วน หรือในสภาพการจราจรที่หนาแน่น รวมทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงและนิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) ได้ถูกใช้ประโยชน์ตลอดการทดสอบ